วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551

Who shot the bear ?

Who shot the bear ?



- An 80 year old man is having his annual check-up at his doctor's office.

( ชายแก่อายุ 80 ไปตรวจสุขภาพประจำปี )



- He says to the doctor,

( เขาพูดกะหมอว่า )



- "I've never felt better in my whole life. In fact,"

( " ผมไม่เคยรู้สึกดีมากอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต " )



- " I have a 20 year old bride who's pregnant and having my child. "

( " ผม ได้เจ้าสาวอายุ 20 ซึ่งจะให้เด็กน้อยกับผมในไม่ช้านี้ " )



- " What do you think of that? "

( " หมอ คิดว่าไงครับ ? " )



- The doctor thinks for a second and then says,

( หมอคิดอยู่สักครู่ก่อนตอบว่า )



- " Let me tell you a story. "

( " ขอให้ผมเล่าเรื่องให้คุณลุงฟังหน่อยนะ " )



- I know this guy who's an avid hunter. He never misses a hunting season.

( หมอรู้จักชายคนหนึ่งที่ชอบการล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ และชายคนนี้ไม่เคยพลาดฤดูการล่า )



- But one day he's in a hurry to go hunting

( อยู่มาวันหนึ่ง เขารีบร้อนออกล่า )



- and he accidentally grabs his umbrella instead of his rifle.

( และหยิบร่มออกไป แทนที่จะหยิบปืนไรเฟิ่ล )



- So he's in the woods and suddenly a giant grizzly bear appears out of nowhere.

( ขณะที่อยู่ในป่า หมีสีเทาใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว )



- He raises his umbrella, points at the bear,

( เขายกร่มขึ้นมาเล็งไปที่หมี..... )



- squeezes the handle and the bear drops dead in front of him.

( บิด..บิด..ด้ามร่ม.... และหมีก็ล้มลงตายต่อหน้าต่อตา.... )



- What do you think of that?

( " คุณลุงคิดว่าไงครับ ? " )



- The old man says, "That's impossible. Someone else must have shot that bear! "

( ชายชราตอบว่า " เป็นไปไม่ได้ ต้องมีใครสักคนยิงยิงหมีนั้นแน่นอน " )



- " EXACTLY " says the doctor.

( " นั่นแหละครับที่หมอคิด " )



ที่มา : Forward Mail ( www.miner2008.blogspot.com )

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2551

สวมแหวนนิ้วไหน

สวมแหวนนิ้วไหน .. บอกอะไรคุณบ้าง!!?






มาดูกันซิว่า .. การที่คุณเลือกสวมแหวนที่นิ้วแต่ละนิ้วเนี่ย .. จะส่งผลอะไรต่อคุณบ้าง ..


แล้วถ้าคุณอยากให้ตัวเองโชคดีจากการสวมแหวนเนี่ย .. คุณควรจะเลือกสวมแหวนที่นิ้วไหนดี !!?

- ถ้าคุณอยากให้ความรักมั่นคง ..



ก็ต้องสวมแหวนนิ้วที่ตรงกับหัวใจที่สุดอย่าง นิ้วนางข้างซ้าย เล้ย!!..





- ถ้าคุณอยากจะให้ตัวคุณเองมีโชคในเรื่องความรัก ..


ก็นี่เลย .. สวมแหวนที่ นิ้วก้อยข้างซ้าย สิ..





- ถ้าคุณอยากให้ใครคนนั้นสนใจคุณล่ะก็นะ ..


ต้องสวมแหวนที่ นิ้วชี้ข้างซ้าย นะ..





- ถ้าคุณอยากโชคดีและมีความราบรื่นในด้านต่างๆ


ต้องสวมแหวนที่ นิ้วนางข้างขวา..





- ถ้าคุณอยากเป็นคนที่มีเสน่ห์ .. มีคนชอบมากๆ


คุณต้องสวมแหวนที่ นิ้วหัวแม่มือ ซึ่งจะเป็นด้านขาว หรือด้านซ้ายก็ได้ทั้งนั้น..





- แล้วถ้าคุณอยากปลอดภัยจากความชั่วร้ายทั้งมวล ..


คุณก็ต้องสวมแหวนที่ นิ้วกลาง ข้างไหนก็ได้.. และสุดท้าย ..





- ถ้าคุณอยากมีโชคทางด้านการเงินล่ะก็นะ ..


ต้องสวมแหวนที่ นิ้วกลาง ข้างขวาซะเลย (อันนี้อ่ะจะสวมไม่ถอดเลย .. ถ้ามันเป็นจริงอ่ะ)



.. เอาล่ะ .. เมื่อรู้กันแล้ว .. ก็เลือกสวมแหวนที่นิ้วที่คุณต้องการได้เลยนะคะ ..


แต่ที่แน่ๆ นิ้วนางข้างซ้ายเนี่ย ..


ถ้าอยากโชคดีจริงๆ ล่ะก็นะ .. ให้คนอีกคนเค้าหามาสวมให้จะดีที่สุดเลยน๊า .. คุณว่าจริงป่ะ?








ที่มา : Forward Mail ( By Complain Girl : http://www.matichon.co.th/ )

Love Letter

Love Letter


จดหมายจากภรรยาสุดที่รัก


สามีหนุ่มใหญ่กลับบ้าน หลังเสร็จงานประชุมที่ต่างประเทศหลายวัน เขาไม่พบภรรยาแต่กลับมีแผ่นโน้ตติดไว้ที่ข้างตู้เย็น อ่านว่า


" สุดที่รักคะไม่ต้องห่วงนะฉันไปพักผ่อนกับเพื่อน ๆ สักวัน สองวัน เออ. วันก่อนฉันเกิดอุบัติเหตุ ขับพอร์ชคันงามของคุณไปอัดเข้า
กับรถกระบะ...ผลน่ะเหรอคะรถสปอร์ตคุณพังยับแต่ฉันไม่เป็นไร ที่รักไม่ต้องห่วงนะ พออีกวันเลยต้องเอาเฟอร์รารี่ของคุณไปใช้
แหม คนมันจะซวย ช่วงเย็นฉันเลยขับไปเสยต้นไม้อย่างจัง คราวนี้หน้ารถบุบ ช่างบอกว่าต้องเข้าอู่ซ่อมประมาณ สามเดือน
ซ่อมเสร็จแล้วจะเหมือนเดิม หรือเปล่ายังไม่รู้ อืม ฉันไม่เป็นไรค่ะ คุณไม่ต้องห่วง เมื่อเป็นอย่างงี้ อีกวันเลยต้องขับเบนซ์เปิดประทุนคันที่ คุณเพิ่งซื้ออีกแหละขากลับบ้านแวะซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่รู้มือบอนหน้าไหนขีดรถ คุณซะเป็นทางยาว "


จากภรรยาสุดที่รักของคุณ


ปล. เกือบลืมบอกไป..ก่อนเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ กิ๊กคุณโทรมาที่บ้านแน่ะ เธอฝากบอกให้โทรกลับด้วยนะคะ




ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

'คนขวัญอ่อน' ห้ามดู !!!!

'คนขวัญอ่อน' ห้ามดู !!!!


นี่เป็นวิธี 'ฆ่าแมว' อย่างโหดร้ายทารุณที่สุด ฝีมือมนุษย์ 'เลือดเย็น-ใจทมิฬ' .... มูลนิธิเพื่อสัตว์ ช่วยด้วยเถิดค่ะ






นอนตายแหง๋แก๋เลย


ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

สำหรับคนรักแมว









































ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

ขาวกับดำ

ขาวกับดำ



เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง


เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว


เศรษฐีบอกชาวนาว่า



'ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า จะยกเลิกหนี้สินทั้งหมดให้'



ชาวนาไม่ตกลง เศรษฐีบอกว่า



'ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวนกรวดใส่ในถุงผ้านี้ ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว ให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย'



ชาวนาตกลง เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้า


หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ เธอจะทำอย่างไร?


หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดาของเธอก็จะยังคงเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน


คนเราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้อย่างขาวกับดำเสมอไป ในทางตรงข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางแก้


ทางออกของปัญหามีมากกว่าหนึ่งเสมอ และการยืดหยุ่นพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง
โลกไม่ได้มีเพียงแค่สีขาวกับดำ



ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน ฉับพลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่พื้น กลืนหายไปในสีดำและขาวของสวนกรวด เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า '



ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอปล่อยหินร่วงหล่น แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละหนึ่งก้อนลงไปในถุงนี้ ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่า กรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร'


ที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำ


'...ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว'



หญิงสาวบอก ขณะที่เศรษฐีมองถุงผ้าอย่างจนมุม ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้และลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า



'หากเราพยายามมากพอที่จะแก้ไขปัญหา เราจะพบว่าทุกปัญหาย่อมมีวิถีทางแก้ไขเสมอ'




ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

เรื่องของกบ

เรื่องของกบตัวเล็กๆตัวหนึ่ง



ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มของลูกกบตัวเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ได้มาร่วมกันจัดการแข่งขัน เพื่อจะปีนขึ้นไปยอดเสาไฟฟ้าแรงสูง มีกลุ่มชนชาวกบมากมายมารอชม และเชียร์การแข่งขันครั้งนี้ การแข่งขันเริ่มขึ้น...


พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีชนชาวกบตัวใด

จะเชื่อว่า เจ้ากบตัวเล็กๆเหล่านั้นจะปีนขึ้นไปจนถึงยอดได้ มีเสียงพูดลอยมาให้ได้ยิน เป็นต้นว่า



"เขาไม่มีทางจะขึ้นไปถึงยอดหรอก มันยากลำบากขนาดนั้น"


หรือ



"เขาไม่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรอก เสามันสูงขนาดนั้น"


เจ้ากบตัวน้อยๆเหล่านี้ก็เริ่มที่จะร่วงหล่นลงไปทีละตัว ทีละตัว ...

ยกเว้นเจ้าตัวหนึ่งซึ่งยังปีนอย่างมุ่งมั่น สูงขึ้น และ สูงขึ้น ....ฝูงกบก็เริ่มส่งเสียงร้องตะโกน



"มันยากเกินไป ไม่มีใครทำได้หรอก!"


กบส่วนใหญ่เริ่มเหนื่อย และยอมแพ้... ...
แต่มีกบตัวหนึ่ง ที่ยังตั้งหน้าตั้งตาปีนสูงขึ้น สูงขึ้น ... เจ้าตัวนี้ไม่ยอมแพ้!



เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน กบตัวอื่นๆ ต่างยอมแพ้ที่จะปีนสู่ยอดเสาจนหมดสิ้น ยกเว้นกบตัวเล็กๆตัวหนึ่ง
ด้วยความพยายามอย่างสุดกำลังมันก็สามารถปีนขึ้นสู่ยอดเสาได้!




กบทุกๆตัวอยากรู้ว่า เจ้ากบตัวเล็กๆตัวนี้ทำได้อย่างไร?
กบคู่แข่งขันต่างอยากรู้ว่า เจ้ากบเล็กๆตัวนี้ มีพลังในการปีนขึ้นสู่ยอดเสา อันเป็นเป้าหมาย จนประสบความสำเร็จได้อย่างไร?



เรื่องกลับกลายเป็นว่า... กบผู้ชนะตัวนั้นหูหนวก!!!!


เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า :



อย่าฟังคำพูดในด้านลบ หรือการมองในแง่ลบ จากคนอื่น...

เพราะเขาเหล่านั้นจะดึงความฝัน ความปรารถนาในหัวใจของคุณออกไป!


ให้ระวังในพลังของคำพูดเสมอ

เพราะทุกสิ่งที่คุณได้ยิน และได้อ่าน มันจะส่งผลต่อการกระทำของคุณ! เพราะฉะนั้น ตลอดเวลา ขอให้เป็นคนคิดบวก!


และเหนือจากนั้น จงทำหูหนวก ต่อคำพูดของผู้คนที่บอกว่า

คุณไม่สามารถทำความฝันของคุณให้เป็นจริงได้! ให้คิดเสมอว่า คุณสามารถทำมันได้!




ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

แนะ ๙ วิธีทำดี

แนะ ๙ วิธีทำดี ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงิน



โดย อมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม


คนไทยเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ชอบทำบุญสุนทานอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อที่ว่า



"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"



ซึ่งแม้ปัจจุบัน หลายคนจะรู้สึกกังขาว่า ทำไม คนที่เรารู้สึกว่าชั่วยังคงได้ดิบได้ดี เช่น ยังมีเงินทองและใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าเรา แต่นั่นก็ยังอธิบายได้ว่า เขาทำกรรมเก่าดีหรือยังกินบุญเก่าอยู่ ซึ่งที่เราเห็นด้วยตาว่าเขาสุขสบายก็อาจไม่จริง บางทีเขาอาจกำลังทุกข์ใจ เพราะต้องคอยระแวงปกปิดความผิดของตน กลัวคนไปล่วงรู้อยู่ก็ได้


อย่างไรก็ดี โดยพื้นฐานแล้วคนส่วนใหญ่ก็มักจะชอบทำบุญ เพราะเชื่อว่าเป็นการทำความดี และเป็นการสะสมผลบุญที่จะสนองให้เราได้รับสิ่งที่ดีในอนาคตหรือในชาติหน้า ซึ่งโดยแท้จริงการทำบุญนั้น ทันทีที่ทำก็เป็นความสุขแล้ว เพราะ บุญ คือ การทำความดีด้วยวิธีการต่างๆ ที่ทำให้อิ่มเอิบเบิกบานใจ


โดยทั่วไป คนมักทำบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของ หรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่น บริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติ ร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า ช่วยเด็กกำพร้า หรือช่วยซื้อโลงศพ เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่า ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น เรามีโอกาสทำความดีหรือทำบุญได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของ


กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม



ขอเสนอแนะ ๙ วิธีทำดี ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงิน เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้


๑.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วย ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง


๒.ยิ้มแย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ ยิ้มกับลูกก่อนไปทำงาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อแม่ๆก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่องเดือนร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทำให้ทำงานด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องระแวงว่าจะถูกเรียกไปต่อว่า และถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตากว่าเวลาที่นายทำหน้ายักษ์


๓.ทักทาย โอปราศรัย คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการ เพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆดีขึ้น


๔.แบ่งปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนนหรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงานให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลง และทำให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย


๕. ปลุกปลอบให้กำลังใจช่วยแก้ไขปัญหาหลายๆ ครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิตและเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือ ความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจ คำพูดดีๆที่มาจากใจจะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้


๖.ให้คำชมด้วยความนิยมยินดี การกล่าวคำชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและจริงใจด้วย ดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกัน คนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคำชมทั้งนั้น เพราะคำชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกำลังใจให้อยากทำดียิ่งๆขึ้นไป


๗.แนะนำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่า ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตาแนะนำในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไป เมื่อเขาทำงานเป็นเราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามีหรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนำหมอ ยาดีๆหรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเรา ทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆในชีวิต


๘.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่าย และมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆนานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เราจะต้องหัดมีเมตตา รู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่ายเหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆต่อไป


๙.ฝึกจิตให้สงบและสบายด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์ การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ เช่น กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน ทำงานบ้าน อ่านหนังสือ อยู่ที่ทำงาน หัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อในสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียว จะทำให้เราทำทุกอย่างได้ดีขึ้น เพราะไม่พะวักพะวน คิดหรือทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทำให้ขาดสติ และทุกๆคืนก่อนนอน ก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆที่เราชอบ เสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเองและผู้อื่นตามสมควร


ที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทำความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราได้โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไป อีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เราและคนรอบตัวมีความสุข เพราะ"บุญ" ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชำระกาย ใจให้บริสุทธิ์ เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง และผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆได้ เริ่มทำแต่วันนี้เลยนะคะ เพราะมีคนบอกว่า



"ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง"


**************




ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

หมาไล่เนื้อ

หมาไล่เนื้อ


มีเรื่องเล่าว่ามีพระองค์หนึ่ง ชอบทำอะไรแปลกๆ


วันหนึ่งพวกกรุงเทพฯเอากฐินไปทอดที่วัด จัดงานกันใหญ่โต มีหนัง มีลิเก มีดนตรี ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน


ก่อนทอดกฐิน ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่งแล้วเอาเชือกมาด้วย
หลวงพ่อจัดการเอาเนื้อผูกติดกับหลังหมา ผูกเสร็จก็ปล่อยหมา


หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลังก็ไล่งับ พอหัวโดดงับตัวก็ขยับหนี เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง ยิ่งโดดงับเร็วก้อนเนื้อก็หนีเร็ว โดดไม่หยุดเนื้อก็หนีไม่หยุดน่าสงสารหมามาก


หมาโดดอยู่นานงับเท่าไหร่เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที ผู้คนบนศาลาพากันหัวเราะชอบใจ หัวเราะเยาะหมาว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้ ไล่งับจะกินเนื้อที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต


หลวงพ่อมองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว ก็แก้เชือกออกมาจากกหลังหมา แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า


"มนุษย์เรามีความรู้สึกว่าตัวเองพร่องตัวเองยังไม่เต็ม ต้องเติมตลอดเวลาเติมไม่หยุดเพื่อให้ตัวเองเต็ม เราอยากสวยอยากทันสมัย ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุดทันสมัยที่สุดใส่ ดีใจได้เดือนเดียวมีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้วสวยกว่าทันสมัยกว่า อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ซื้อเสร็จ ๓ เดือนรุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด ๒ เดือนต่อมามีรุ่นใหม่กว่าออกมาของเราตกรุ่น ซื้อรถเบนซ์ทันสมัยที่สุดแพงมาก ขับได้ ๖ เดือนมีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว ทันสมัยกว่าแพงกว่าของเรากลายเป็นเชย"


"เราต้องก้มหน้าก้มตาทำงานทั้งวัน ทั้งคืนหาเงินมา เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย ซื้อเสื้อผ้าใหม่มือถือใหม่คอมพิวเตอร์ใหม่รถยนต์คันใหม่ เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น"


"ปัจจุบัน เรากำลังไล่งับความทันสมัยเหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน ทั้งที่รู้ว่าต่อให้ไล่งับทั้งชีวิตก็ไม่มีทางตามทัน น่าสงสารไหมโยม"


คนเต็มศาลาเมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น ด่าว่าหมามันโง่ ตอนนี้เงียบสนิทเหมือนไม่มีคนอยู่


ไม่รู้ว่ากำลังสงสารหมา หรือกำลังทบทวนความโง่ตัวเอง




ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

คุณ "กำ"อะไรอยู่??

คุณ "กำ"อะไรอยู่??


ครอบครัวที่น่ารักอยู่ครอบครัวหนึ่ง ในครอบครัวนี้มี พ่อ แม่ และบุตรชายวัย 5 ขวบ กำลังน่ารักเลยทีเดียว เจ้าหนูเป็นเด็กที่ซนอย่างร้ายกาจและขี้สงสัยอย่างมาก


อยู่มาวันหนึ่งเจ้าหนูก้อนึกครึ้มอกครึ้มใจอย่างไรบอกไม่ถูกไปคว้าเอาแจกันหยกแกะสลักต้นราชวงศ์หมิง ซึ่งนั่นก้อหมายความว่ามันราคาแพงมากกก นำมาเล่นพลิกคว่ำพลิกหงาย สักพักก้อล้วงมือเข้าไปในแจกัน ทันใดนั้นเจ้าหนูก้อทำตาโตเท่าไข่ห่านดูเหมือนจะดีใจที่ล้วงเข้าไปเจออะไรสักอย่าง


แต่ปัญหาหาอยู่ที่ว่า เจ้าหนูจะดึงมือออกมาได้อย่างไร เจ้าหนูเริ่มกระสับกระส่ายพยายามดึงมือออกมาแต่ก้อไม่สำเร็จ จนต้องใช้ไม้ตายคือ



"ทำไม่ได้ร้องไห้ไว้ก่อน"


เสียงเอ็ดอึงเป็นผลให้พ่อและแม่ต้องวิ่งมาดู เมื่อมาพบเข้าต่างก้อพยายามช่วยกันดึงมือของเจ้าหนูออกจากแจกันด้วยวิธีต่างๆ น้ำมันก้อแล้ว น้ำสบู่ก้อแล้วทำอีท่าไหนก้อไม่ออก จนสุดท้ายผู้เป็นพ่อต้องตัดใจทุบแจกันหยกราชวงศ์หมิงทิ้งเพื่อรักษามือของลูกชายเอาไว้


เมื่อมือของเจ้าหนูหลุดจากแจกันแล้วพ่อและแม่ ก้อพบว่ามือเจ้าหนูกำอะไรบางอย่างจนแน่นผู้เป็นแม่จึงถามลูกชายว่า



"หนูกำอะไรอยู่จ้ะลูก ?"


เจ้าหนูตอบพร้อมทำสีหน้าขึงขัง



"ผมปล่อยมันไม่ได้หรอกครับ"


"แล้วมันคืออะไรจ้ะลูก?"



ผู้เป็นพ่อเริ่มสงสัย


"มันเป็นสตางค์ครับ"



เจ้าหนูตอบพร้อมกับค่อยๆแบมือออกอย่างทนุถนอม จึงปรากฏว่า ในมือของเจ้าหนูมีเพียงเหรียญสลึงอยู่สองเหรียญ
เจ้าหนูหารู้ไม่ว่าการที่เขาพยายามกำเหรียญเอาไว้ทำให้ครอบครัวต้องสูญเสียของมีค่ากว่าเป็นพันๆเท่า



แล้วเพื่อนๆ ล่ะ ขณะที่คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่นี้

คุณกำลัง "กำ"อะไรไว้ในชีวิตบ้าง
เงิน? บ้าน? งาน? รถ? ทิฐิ? ...



แล้วสิ่งที่คุณกำอยู่ทำให้คุณสูญเสียอะไรที่มีค่ามหาศาลไปบ้าง
เวลา.... ครอบครัว.... พ่อแม่..... คนที่รักเรา..... สวรรค์.....



คุณ "กำ"อะไรอยู่??




ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

เธอ...คนที่อยู่ใกล้หัวใจคุณ

เธอ...คนที่อยู่ใกล้หัวใจคุณ

When you came into the world, she held you in her arms. You thanked her by wailing like a banshee.

เมื่อคุณกำเนิดมาในโลกนี้ เธออุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณเธอโดยการร้องไห้

When you were 1 year old, she fed you and bathed you. You thanked her by crying all night long.
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ เธอป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณเธอโดยการงอแงทั้งคืนวัน

When you were 2 years old, she taught you to walk. You thanked her by running away when she called.
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ เธอสอนคุณเดิน คุณขอบคุณเธอด้วยการวิ่งหนีเมื่อเธอเรียกหา

When you were 3 years old, she made all your meals with love. You thanked her by tossing your plate on the floor.
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ เธอทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณเธอด้วยการโยนจานลงพื้น

When you were 4 years old, she gave you some crayons. You thanked her by coloring the dining room table.
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ เธอให้ดินสอสีคุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการระบายสีบนโต๊ะอาหาร

When you were 5 years old, she dressed you for the holidays. You thanked her by plopping into the nearest pile of mud
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ เธอแต่งชุดเก่งให้คุณเพื่อไปเที่ยว คุณขอบคุณเธอด้วยการทำชุดเก่งนั้นเปื้อนโคลนเลอะเทอะ

When you were 6 years old, she walked you to school. You thanked her by screaming, "I'M NOT GOING!"
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ เธอเดินไปส่งคุณไปโรงเรียน คุณขอบคุณเธอด้วยการกรีดร้องว่า "ไม่ไป!!!"

When you were 7 years old, she bought you a ball. You thanked her by throwing it through the next-door-neighbor's window.
เมื่อคุณอายุได้ 7 ขวบ เธอซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการไปทำหน้าต่างของเพื่อนบ้านแตก

When you were 8 years old, she handed you an ice cream. You thanked her by dripping it all over your lap.
เมื่อคุณอายุได้ 8 ขวบ เธอซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่วตักเธอ

When you were 9 years old, she paid for piano lessons. You thanked her by never even bothering to practice.
เมื่อคุณอายุได้ 9 ขวบ เธอสอนเปียโนให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม

When you were 10 years old, she drove you all day, from soccer to gymnastics to one birthday party after another. You thanked her by jumping out of the car and never looking back.
เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ เธอขับรถไปส่งคุณทั้งวัน ตั้งแต่สนามบอล, โรงยิม, ยันงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนแต่ละคน คุณขอบคุณเธอด้วยการกระโดดออกนอกรถ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

When you were 11 years old, she took you and your friends to the movies. You thanked her by asking to sit in a different row.
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ เธอพาคุณและเพื่อนคุณไปดูหนัง คุณขอบคุณเธอด้วยการขอนั่งที่นั่งคนละแถว

When you were 12 years old, she warned you not to watch certain TV shows. You thanked her by waiting until she left the house.
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ เธอเตือนคุณอย่าดูทีวี คุณขอบคุณเธอด้วยการรอให้เธอออกไปก่อน แล้วดูต่อ

When you were 13, she suggested a haircut that was becoming. You thanked her by telling her she had no taste.
เมื่อคุณอายุ 13 เธอแนะให้คุณตัดผมให้มันดูดี คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่าเธอไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย

When you were 14, she paid for a month away at summer camp. You thanked her by forgetting to write a single letter.
เมื่อคุณอายุ 14 เธอจ่ายค่าซัมเมอร์แคมป์หนึ่งเดือนให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการไม่ได้เขียนจดหมายมาหาเลยสักฉบับ

When you were 15, she came home from work, looking for a hug. You thanked her by having your bedroom door locked.
เมื่อคุณอายุ 15 เธอกลับบ้านหลังเลิกงาน อยากได้กอดสักครั้ง คุณขอบคุณเธอด้วยการล็อกห้องนอนขังตัวเองในห้อง

When you were 16, she taught you how to drive her car. You thanked her by taking it every chance you could.
เมื่อคุณอายุ 16 เธอสอนคุณขับรถ คุณขอบคุณเธอด้วยการเอารถไปขับทุกเวลาที่คุณจะเอาไปได้

When you were 17, she was expecting an important call. You thanked her by being on the phone all night.
เมื่อคุณอายุ 17 เธอกำลังรอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณเธอด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น

When you were 18, she cried at your high school graduation. You thanked her by staying out partying until dawn.
เมื่อคุณอายุ 18 เธอร้องไห้ในวันที่คุณเรียนจบมัธยม คุณขอบคุณเธอด้วยการฉลองยันเช้า

When you were 19, she paid for your college tuition, drove you to campus carried your bags. You thanked her by saying good-bye outside the dorm so you wouldn't be embarrassed in front of your friends.
เมื่อคุณอายุ 19 เธอจ่ายค่ากวดวิชา ขับรถไปรับไปส่ง คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกลาข้างนอกหอพักเพื่อที่จะไม่ได้อายเพื่อน

When you were 20, she asked whether you were seeing anyone. You thanked her by saying, "It's none of your business."
เมื่อคุณอายุ 20 เธอถามคุณว่ามีแฟนหรือยัง คุณขอบคุณเธอด้วยการพูดว่า ไม่ใช่เรื่องของเธอสักหน่อย

When you were 21, she suggested certain careers for your future. You thanked her by saying, "I don't want to be like you."
เมื่อคุณอายุ 21 เธอแนะนำอาชีพให้คุณสำหรับอนาคต คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า คุณไม่อยากเป็นอย่างเธอ

When you were 22, she hugged you at your college graduation. You thanked her by asking whether she could pay for a trip to Europe.
เมื่อคุณอายุ 22 เธอกอดคุณวันรับปริญญา คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า อยากได้รางวัลไปเที่ยวยุโรปสักครั้ง

When you were 23, she gave you furniture for your first apartment. You thanked her by telling your friends it was ugly.
เมื่อคุณอายุ 23 เธอให้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งในอพาร์ตเมนท์แห่งแรกของคุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกเพื่อนๆ ว่า มันช่างน่าเกลียดเสียนี่กระไร

When you were 24, she met your fiance and asked about your plans for the future. You thanked her by glaring and growling, "Muuhh-ther, please!"
เมื่อคุณอายุ 24 เธอพบคู่หมั้นคู่หมายของคุณและถามคุณเกี่ยวกับแผนการในอนาคตคุณขอบคุณเธอด้วยการจ้องมองเขม็งพร้อมพูดว่า "แม่ ได้โปรดเถอะอย่ายุ่งกับเรื่องนี้"

When you were 25, she helped to pay for your wedding, and she cried and told you how deeply she loved you. You thanked her by moving halfway across the country.
เมื่อคุณอายุ 25 เธอช่วยคุณจ่ายค่าใช้จ่ายในงานแต่งงาน เธอร้องไห้และบอกคุณว่าเธอรักคุณแค่ไหน คุณขอบคุณเธอด้วยการย้ายไปอีกฟากหนึ่งของประเทศ

When you were 30, she called with some advice on the baby. You thanked her by telling her, "Things are different now."
เมื่อคุณอายุ 30 เธอโทรมาหาพร้อมกับแนะนำเรื่องการเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า สมัยนี้อะไรๆมันเปลี่ยนไปแล้ว

When you were 40, she called to remind you of an relative's birthday. You thanked her by saying you were "really busy right now."
เมื่อคุณอายุ 40 เธอโทรมาเตือนความจำคุณเกี่ยวกับวันคล้ายวันเกิดญาติ คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า ตอนนี้ไม่ว่างเลย

When you were 50, she fell ill and needed you to take care of her. You thanked her by reading about the burden parents become to their children.
เมื่อคุณอายุ 50 เธอเริ่มชราและไม่ค่อยสบาย ต้องการให้คุณดูแล คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่ามันเป็นภาระแค่ไหนที่จะต้องเลี้ยงดูเธอ

And then, one day, she quietly died. And everything you never did came crashing down like thunder. "Rock me baby, rock me all night long."
และแล้ว วันหนึ่ง เธอจากไปอย่างเงียบๆ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยกระทำ จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณเอง "เรียกแม่ไปเถอะลูก เรียกตลอดทั้งคืนนะ"

Please paid little bit attention to the one you called "mom"
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่คนที่เราเรียกว่าแม่ แม้จะไม่กล้าพูดออกมาก็ตามเถอะ

Nothing can replace her although sometimes she is not the one who mostly understand in you.
ไม่มีอะไรแทนที่เธอได้ แม้ว่าบางคราวเธออาจจะไม่ได้เป็นคนที่เข้าใจคุณมากที่สุด

Or she may not agree with your thought but she still your "mom" and you can believe that she can do everything for you.
หรืออาจไม่เห็นด้วยกับความคิดของคุณ แต่เธอก็คือแม่ของคุณ และเชื่อได้ว่าเธอจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคุณ

Listen to your problems, every anxious . Do you have more time to listen to her worry from work? Do you used to concern about her tired?
รับฟังทุกปัญหาด้วยความกังวล แล้วถามตัวคุณเองสักนิดเถิดว่า คุณมีเวลาที่จะรับฟังเรื่องที่เธอทุกข์ใจบ้างไหม เคยห่วงใยกับความเหน็ดเหนื่อยยากลำบากของเธอหรือเปล่า? ความเศร้ากังวลใจ

Please love her so much although she and you have the conflict because when she pass awa, it's remain the memory and sad.
ได้โปรดรักเธอให้มาก แม้ว่าคุณกับเธอจะคิดเห็นแตกต่างกัน เพราะเมื่อเธอจากไปแล้ว จะเหลือเพียงความทรงจำและความเสียใจเท่านั้น

Do not ignore the one who closely to your heart? Love her more than you love yourself.
อย่าได้เพิกเฉยกับคนที่อยู่ใกล้หัวใจคุณที่สุด จงรักเธอให้มากกว่าที่คุณรักตัวเอง


ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2551

18 วิธีที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข

18 วิธีที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข



















ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

ความไม่แน่นอนในชีวิต

ความไม่แน่นอนในชีวิต

Dreams success and fate ( ความฝัน ความสำเร็จ และ โชคชะตา )









ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

กำลังใจ

กำลังใจ

ฉั น ม า จ า ก ดิ น แ ด น อั น ไ ก ล โ พ้ น

ข้ามหมอกหนา..
พายุฝน..จ
ากโค้งฟ้ามาตามเก็บเมล็ดพันธุ์แห่งรักที่ทำหล่น..
ณ วังวนกาลเวลาสะดุดก้อนหินของความห่วงหา..จึงเก็บกลับมาวางบนใจ

. . ฉั น มี . . ร อ ย ยิ้ ม . . แ ล ะ เ สี ย ง หัว เ ร า ะ

เอาไว้ทำการปลูกเพาะ..
ให้ต้นกล้ายึดเกาะยืนหยัดได้หวังว่าสักวัน..
มันโตขึ้นมา..จะแผ่สาขา..
และกลีบใบเติบโตเป็นร่มไม้ใหญ่..
เป็นที่พิงพักยามอ่อนไหว..ให้กับเธอ

. . เ ธ อ เ ห็ น แ ล้ ว ใ ช่ ไ ห ม

มันคือต้นกำลังใจ..
ที่คอยรับฟังความเป็นไปของเธอเสมอกิ่งไม้นั้นซัดส่ายเอนโอน..
เพื่อกระซิบถ้อยคำปลอบโยนให้กับเธอและหากวันใดน้ำตาไหลเอ่อ..
ต้นไม้จะร้องไห้เป็นเพื่อนเธอ..
น้ำตาที่ไหลลงมา..หมด-สิ้น-ไป

ฉั น ยั ง อ ยู่ ต ร ง นี้ .. เ ห็ น ใ ช่ ไ ห ม..

ตรงที่ใคร-ใครต้องการได้และไขว่คว้า

ใ น ส า ย ล ม .. ใ น อ า ก า ศ .. ใ น ห้ ว ง เ ว ล า ..

โบยบินอยู่ตรงหน้า.. ฉันใช้ชื่อว่า..

กำ ลั ง ใ จ

เ ธ อ อ า จ ลื ม ฉั น ใ น ต อ น ที่ เ ธ อ มี ค ว า ม สุ ข

แต่ยามใดที่เธอทุกข์..กับความสุขที่ห่างหาย

ฉั น จ ะ ไ ป ห า .. ย า ม เ ธ อ อ่ อ น ล้ า .. ใ น วั น ใ ด

แฝงตัวอยู่ไม่ไกล..
ในมุมมองใหม่-ใหม่ของใจเธอ

******


ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

บทลงโทษ...ด้วยความรัก

บทลงโทษ...ด้วยความรัก

วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคาแพงของพ่อ

แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง แอนดี้ก็ก้มหน้างุดและทำท่ากระสับกระส่าย เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิด

แม้จากระยะไกล ฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองพ่อตาโตด้วยความหวาดหวั่น รอคอยที่จะถูกทำโทษ

พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ โดยไม่พูดอะไรสักคำ หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก หนังสือคือความรู้ และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก

สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้ หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน พ่อกลับนั่งลง หยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้ แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง

พ่อเขียนที่ข้างๆ ลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า

"ภาษาของแอนดี้ เมื่ออายุสองขวบ ต่อไปนี้ ไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ ที่น่ารักและดวงตาที่สดใสของลูก และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้ มาให้ขีดเขียนบนหนังสือแสนหวงของพ่อ ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย เหมือนกับที่พี่ๆ ของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อเหมือนกัน"

"ว้าว..."

ฉันคิด นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ? นานๆครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น ทุกครั้งที่มองดูลายมือขยุกขยิกเหล่านั้น ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น พ่อได้สอนให้ฉันรู้ว่า

'อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง'

ซึ่งนั่นก็คือ

'คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ'

ลองมองย้อนดูตัวคุณเองนะคะ ในแต่ละวัน เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อยู่เสมอ เช่น คุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ และคุณก็ทำสีหน้าตำหนิเธอพร้อมกับคำพูดที่ว่า

"เดี๋ยวผมเทเองก็ได้"

นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก น้ำตาใสๆก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน เพราะอาหารมื้อนั้นไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว
แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า

"ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก "

เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ และได้คิดถึงทุกครั้งว่าภรรยารักและเอาใจใส่ผมมากเท่าใด อยากปรนนิบัติเอาใจ (จนเทซอสหกใส่ผม) แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณบ้างนะ (ทีนี้ล่ะตาผมมั่ง) รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบินแล้ว แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ

สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่ นาฬิกาเรือนละแสน หรือเนคไทเส้นละหลายๆพัน
แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่ง เฝ้ารัก เฝ้าถนอมความรู้สึกคุณอยู่ตลอดเวลาต่างหาก

...แล้วคุณละคะ เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือเปล่า


ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

ผู้ชายเพอร์เฟค

ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงแต่ละวัยไม่เหมือนกัน


ลองมาดูว่าผู้ชายในฝันของคุณสาว ๆ
จะตรงกับทฤษฎีชีวิตของนักวิจัยไม่ไม่ยอมเปิดเผยนามผู้นี้หรือเปล่า

ผู้ชายสมบูรณ์แบบในโลกนี้ยังมีอยู่ !!!

ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 15-22 ปี

1. หล่อ
2. มีเสน่ห์
3. ฐานะการเงินดี
4. เป็นนักฟังที่ดี
5. ฉลาด
6. หุ่นดี
7. แต่งตัวดี
8. ละเอียดอ่อน ประณีต พิถีพิถัน
9. มีความกระตือรือร้น
10. เป็นคู่รักโรแมนติก เป็นชายในฝัน

ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 23-42 ปี

1. หน้าตาดูไม่อุบาทว์ ถึงหัวล้านก็ไม่เป็นไร
2. อย่าขับรถออกไปก่อนที่เราจะเข้าไปนั่งในรถ
3. รู้จักผงกหัวรับในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่เราพูดบ้างก็พอ
4. มีหน้าที่การงานดีพอที่จะพาเราไปเลี้ยงข้าวในฟาสต์ฟูดใกล้ ๆได้
5. รู้จักจำเรื่องตลก ๆ มาเล่าบ้าง
6. สุขภาพแข็งแรงพอที่จะเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ในบ้านได้
7. มักสวมเสื้อผ้าปกคลุมพุงไว้มิดชิด
8. ไม่พูดถึงรูปลักษณะที่ร่วงโรยของวัยให้เราสะเทือนใจ พิถีพิถัน
9. ออกจากห้องน้ำโดยดึงฝารองชักโครกลงด้วย
10. รู้จักโกนหนวดโกนเคราตัวเองบ้างสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี

ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 43-52 ปี

1. รู้จักดูแลจมูกตัวเอง อย่าให้ยาวยื่นออกมามากนัก
2. อย่าเรอ อย่าผายลม หรือเกาตูดในที่สาธารณะ
3. อย่ายืมเงินชาวบ้านบ่อยนัก
4. อย่าสัปหงกในขณะที่เราโกรธ
5. อย่าเล่าเรื่องโจ๊กซ้ำ ๆ ให้เล่าฟังถี่นัก
6. อย่าขี้เกียจอาบน้ำมากนัก
7. รู้จักสวมถุงเท้าสีเดียวกันทั้งสองข้างบ้าง
8. ทานอาหารเย็นหน้าจอทีวีด้วยกันได้
9. จำชื่อเราได้ในวาระที่เหมาะสม
10. รู้จักไปตัดผม โกนหนวดเองโดยที่เราไม่ต้องบอก

ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 53-62 ปี

1. อย่าตะคอกเด็ก ๆ
2. จำได้ว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน
3. ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยนัก
4. เวลาตื่นนอนช่วยกรนเบา ๆ หน่อย เวลาหลับก็กรนดังอยู่แล้ว ให้เราได้พักหูบ้าง
5. พอจำวันเดือนปีได้
6. รูปร่างพอดูได้ ถ้าเขายืนเองได้
7. ยังสวมเสื้อผ้าบางชิ้นได้
8. ชอบอาหารอ่อน
9. พอจำได้ว่าวางฟันปลอมตัวเองไว้ที่ไหน
10. จำได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เช่น กำลังหัวเราะเรื่องอะไร

ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 72 ปี

1. ยังหายใจอยู่ก็พอ


ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

คิดแง่บวก คิดแบบผู้ชนะ

คิดแง่บวก คิดแบบผู้ชนะ

เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรมในวิกฤตย่อมมีโอกาส

เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง

เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบที่ว่ามารไม่มีบารมีไม่เกิด

เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรมในวิกฤตย่อมมีโอกาส

เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

*******


ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

'ความรัก' ในปรัชญา

'ความรัก' ในปรัชญาชีวิต ของ คาลิล ยิบราน


'ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเอง ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง เพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก'

คาลิล ยิบราน ( Kahlil Gibran )

นักเขียนและกวีชาวเลบานอน ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนโลก กล่าวถึงความรักด้วยภาษางดงามสุดซึ้งไว้ในหนังสือ The Prophet หรือ "ปรัชญาชีวิต" ที่แปลโดย อ.ระวี ภาวิไล

ขอนำมาฝากไว้ให้กับผู้ที่กำลังดื่มด่ำกับความรักในวันวาเลนไทน์นี้

ความรัก

เมื่อความรักร้องเรียกเธอจงตามมันไป
แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกราญไปฉะนั้น

เพราะแม้ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย

ความรักจะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาวแล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน เ
พื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า

ความรักจะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ
เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุขและความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่าที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตนและหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด
ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่

ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง
และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก

เมื่อเธอรัก อย่าได้พูดว่า
พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา
แต่ควรพูดว่าเราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า
และอย่าได้คิดว่า เธอสามารถนำแนวทางของความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่าเธอมีคุณค่าพอแล้วก็จะเป็นผู้นำแนวทางของเธอเอง
ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด
นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์ แต่ถ้าหากเธอรัก
และจำต้องมีความปรารถนา ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้

เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ
ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว
อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บ ด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหลด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติและขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุขซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ

และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนาสำหรับคนรักในดวงใจ
และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ

ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

สิ่งที่เรียนรู้

สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ของ อุดม แต้พานิช

ถึงแม้จะรู้ช้าหน่อย แต่ก็ยังไม่สายที่จะถ่ายทอดบทเรียนกับคนอื่น!

* มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี


* แฟนของคนอื่นมักจะสวยกว่าแฟนของตัวเอง

* เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ

* ถ้าแอบรักใครอย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า

* เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักทีให้พูดว่าไม่เอาจะ ได้เร็ว

* ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่า จะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที

* ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย

* ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่งไม้, ซอกตึก, อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ

* ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ

* ระวังคน ที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ

* อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง

* หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือหนังที่เราชอบดู

* อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่าอย่าบอกใครนะ

* อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก

* เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ

* อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ

* รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป

* ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมี

* อย่าเข้าใกล้หมาตอนกินข้าว

* ตลาด อตก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา

* เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน

* ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป

* คนไม่กินเนื้อไม่ได้แปลว่าเป็นดีเสมอไป

* เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีน ออกจากปากให้หลับตาด้วย

* ปูอัด มันทำจากปลา กระเพาะปลามันทำมาจากหนังหมู

* กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า

* อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ

* ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้า มาทักว่าปกติดีนี่ไปทำอะไรมา

* คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะบ้านเขาไม่มีตู้ เขาไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่า เขาทำอาชีพอะไร

* คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา

* คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ

* ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน

* จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา

* เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึง มักจะหาไม่เจอ

* ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก

* ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต, ห้องน้ำผู้ชายผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน.


ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )

เรื่องของในหลวง

เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้

เมื่อทรงพระเยาว์

1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.

2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์

3.พระนาม"ภูมิพล"ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช

5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก

6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า "H.H Bhummibol Mahidol"หมายเลขประจำตัว 449

7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า "แม่"

8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง

9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม

10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต

11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า"บ๊อบบี้"

12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ

13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว

14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ

15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก "การให้" โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า "กระป๋องคนจน" เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก "เก็บภาษี" หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า "ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน"

17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา

18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง

พระอัจฉริยภาพ

19.พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก "การเล่น" สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐาน ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง

20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์

21.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)

22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้

23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส

24.ทรงพระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ "แสงเทียน" จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง

25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง "เราสู้"

26.รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5

27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย

28.ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง "นายอินทร์" และ "ติโต" ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ "พระมหาชนก" ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

29.ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น"กีฬาซีเกมส์") ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510

30.ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน

31.ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ "กังหันชัยพัฒนา" เมื่อปี 2536

32.ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว

33.องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง

เรื่องส่วนพระองค์

34.พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

35.รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า"น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง

36.ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท

37.หลังอภิเษกสมรส ทรง"ฮันนีมูน"ที่หัวหิน

38.ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน

39.ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

40.ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น

41.เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา

42.พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

43.หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม

44.วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง


งานของในหลวง

45.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ

46.ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ

47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน

48.เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน

49.ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน

50.โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้

51.เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด

52.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า "ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ

53.ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

ของทรงโปรด

54.อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา

55.ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย

56.ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก

57.ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง

58.เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง

59.ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก

60.ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง

61.หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก

62.ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว

63.ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ

64.สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว


รู้หรือไม่ ?

65.ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า "นายหลวง" ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง

66.ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน

67.อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า "ทำราชการ"

68.ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี

69.ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า"อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก"

70.ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด

71.หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี

72.รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์

73.ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน

74.ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน

75.ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง

76.สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง

77.นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด


ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระเกษมสำราญ มีพระพลานมัยแข็งแรงสมบูรณ์ มีพระชนม์ยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย ตลอดกาลนานเทอญ. ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ...

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ...

ที่มา : Forward Mail ( www.matichon.co.th )